การรักษา
1.แนะนำข้อปฏิบัติตัวสำหรับผู้ที่เป็นสิว ดังนี้
- หมั่นสังเกตว่ามีสาเหตุกระตุ้นอะไร (ดูหัวข้อ “สาเหตุ”) เช่น ความเครียด อดนอน อยู่ในที่ที่มีอากาศร้อนชื้นเหงื่อออกมาก เครื่องสำอาง ยาบางชนิด การระคายผิว การเสียดสี แล้วหลีกเลี่ยงเสีย ก็อาจช่วยให้สิวทุเลาได้
- ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด (น้ำก๊อกธรรมดา)วันละ 1-2 ครั้ง อาจใช้สบู่ฟอกหน้าเพียงวันละครั้งโดยใช้สบู่เด็ก (สบู่อ่อน) ฟอกให้เกิดเป็นฟองบนฝ่ามือแล้วลูบไล้ผิวหน้า แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด ใช้ผ้าขนหนูซับ เบา ๆ ห้ามล้างหน้านานๆ ถูแรง ๆ หรือล้างบ่อยเกินไปอาจทำให้สิวกำเริบมากขึ้นได้
- ออกกำลังกายและผ่อนคลายความเครียดเป็นประจำ เช่น ฝึกโยคะ รำมวยจีน ทำสมาธิ
- หลักเลี่ยงการบริโภคน้ำตาล (ของหวานน้ำ อัดลม) นมและผลิตภัณฑ์จากนม (เช่น ไอศกรีม ซ็อกโกแลต เนย ครีม)
- ซึ่งอาจทำให้สิวกำเริบ เนื่องจากน้ำตาลและนมมีสารที่กระตุ้นให้เกิดสิวได้
- อย่าบีบ เค้น กด หรือแกะสิวเอง อาจทำให้ติดเชื้อลุกลามได้
- หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่มีผลต่อผิว หนังและต่อมไขมัน เช่น ครีมบำรุงผม ครีมนวดหน้า ครีมแก้รอยเหี่ยวย่นที่มีสตีรอยด์ผสม ถ้าจำเป็นต้องใช้ควรเลือกครีมที่มีความชุ่มชื้น ซึ่งมีสารเคมีที่ไม่ก่อให้เกิดสิว หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า “ไม่ก่อให้เกิดคอมีโดน” (โดยทั่วไป ชุดแต่งหน้า เช่น ลิปสติก แป้ง ชุดรองพื้น บรัชออน มาสคารา อายแชโดว์ จะไม่ก่อให้เกิดสิว)
2. ถ้าเป็นเพียงสิวเสี้ยน (สิวหัวขาว หรือหัวดำ) ยังไม่มีการอักเสบเป็นตุ่มแดงหรือตุ่มหนอง ควรให้การ รักษาดังนี้
ก.ใช้ยาทาในกลุ่มกรดเรติโนอิกชนิดใดชนิด หนึ่งดังต่อไปนี้
- เทติโนอิน (tretinoin) ชนิดเจลหรือ ครีมชนิด 0.025% ‚0.05% และ 0.1% มีชื่อทางการค้า เช่น เรติน เอ (Retin-A) ยานี้อยู่ในกลุ่มกรดเรติโนอิก (retinoic acid) มีฤทธิ์ละลายขุย ทำให้หัวสิวหลุดลอกและป้องกันมิให้เกิดสิวใหม่ ใช้ทาทั่วใบหน้า ยกเว้น รอบตาและซอกจมูก วันละครั้ง ก่อนนอน (ถ้าใช้ขนาด เข้มข้นสูง หรือใช้ร่วมกับยารักษาสิวตัวอื่น ควรใช้ทาวันเว้นวัน) จะเริ่มเห็นผลเมื่อใช้นาน 3-4 เดือน ยานี้ อาจทำให้เกิดการระคายเคือง หน้าแดง แสบ แห้ง ลอก และเกิดการแพ้แดดได้ (เมื่อใช้ยานี้ ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด หรือยาทากันแดดในเวลากลางวัน)ในบางรายอาจ ทำให้เป็นสิวมากขึ้นในช่วง 3-4 สัปดาห์แรกของการใช้ยา
- ไอโซเทรติโนอิน (isotretinoin) ชนิดเจล หรือครีมชนิด 0.05% มีชื่อทางการค้า เช่นไอโซเทรกซ์ (Isotrex) มีฤทธิ์ทำให้การสร้างเคอราตินกลับสู่สภาพปกติ และลดการอักเสบใช้ทาวันละครั้ง ก่อนนอน มีผลข้างเคียงน้อยกว่าแทรติโนอิน
- อะดาฟาลีน (adaphalene) ชนิดเจล หรือครีมชนิด 0.1% มีชื่อทางการค้า เช่น ดิฟเฟอริน (Differin) เป็นกรดเรติโนอิกสังเคราะห์ มีข้อดีคือ นอกจากใช้รักษาสิวเสี้ยนแล้ว ยังใช้กับสิวที่อักเสบได้ด้วย มีผลข้างเคียงน้อยกว่าเทรติโนอิน ยามีความคงตัวมากกว่าเมื่อถูกแสงแดด สามารถใช้ทาตอนเช้าได้
ข. ทำการกดสิว โดยใช้เครื่องมือกดสิวในราย ที่รูเปิดเล็กมากอาจจำเป็นต้องใช้เข็มเบอร์ 25 หรือ 26 ขยายรูเปิด ช่วยให้การกดสิวเป็นไปได้ง่ายขึ้น การกดสิว ควรทำให้ถูกหลักวิธีและสะอาด วิธีนี้ช่วยลดรอยโรคที่เป็นอยู่ให้หายไปได้รวมเร็ว ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดตุ่ม อักเสบเห่อขึ้นหลังการรักษา อย่างไรก็ตาม ผลที่ได้มัก เป็นเพียงชั่วคราวมักจะเกิดหัวสิวขึ้นใหม่ได้อีกจึงต้องใช้ร่วมกับการทายาดังกล่าวข้างต้น
3. ถ้าเป็นสิวหัวแดงหรือตุ่มหนอง ควรให้การ ไปนี้
ก.ใช้ยาทารักษาสิวชนิดใดชนิดหนึ่ง ดังต่อ ไปนี้
- เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (benzoyl per oxide/BP) ชนิดเจลหรือครีมชนิด 2.5% ‚ 5% และ 10% มีชื่อทางการค้า เช่น แอกซี(Aczee) เบนแซกเอซี (Benzac AC) พาโนวิล (Panoxyl) ยานี้ออกฤทธิ์ฆ่า เชื้อพีแอกเนส์ ลดการอักเสบ และลดปริมาณไขมันที่ ผิวหนัง แต่อาจทำให้หน้าแดง แสบ แห้งเป็นขุย เริ่มต้น ควรใช้ขนาดความเข้มข้นต่ำก่อน ทาทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด วันละ 2 ครั้ง ตอนเช้าและ ก่อนนอน เมื่อเริ่มคุ้นกับยา จึงเพิ่มเวลาให้นานขึ้น และเพิ่มขนาดของยาได้ทุก ๆ 1-2 เดือน
ถ้าใช้เพียงอย่างเดียวไม่ได้ผล ควรใช้ร่วมกับยาทาดังกล่าวในข้อ 2 โดยใช้เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ ทาตอนเช้าและใช้กรดเรติโนอิกชนิดใดชนิดหนึ่ง ทาตอนก่อนนอน เริ่มต้นควรให้สลับวันก่อน เมื่อเริ่มคุ้น กับยาจึงปรับมาใช้ในวันเดียวกัน ต่อไป
- ไอโซเทรติโนอิน ใช้ทาเดี่ยวๆ หรือร่วมกับเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ หรือร่วมกับยาปฏิชีวนะ
- ใช้ยาปฏิชีวนะชนิดทา เช่น คลินดาไมซิน(clindamycin) ชนิดน้ำ 1% หรืออีริโทรไมซินชนิดน้ำ หรือชนิดเจล 1-2 % ทาวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น นาน 8-12 สัปดาห์ ยานี้อาจมีผลข้างเคียงทำให้เกิดการระคาย เคืองจากตัวยาที่ใช้ผสม ทำให้ผิวหนังแดง แห้ง ลอก และคันได้
ยาปฏิชีวนะชนิดทาดังกล่าวไม่ควรใช้เดี่ยวๆ เพราะเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อดื้อยา ควรใช้ร่วมกับเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ หรือกรดเรติโนอิก
ข. ถ้าไม่ได้ผล หรือมีการอักเสบมาก ให้ใช้ยาทาเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์หรือกรดเรติโนอิกร่วมกับยาปฏิชีวนะชนิดกินได้แก่ เตตราไซคลีน ครั้งละ2 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง นาน 1 เดือน ถ้าได้ผล เดือนที่ 2 ลดเหลือครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง เดือนที่ 3 ครั้ง ละ 1 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง เดือนที่ 4 ครั้งละ 1 แคปซูล วันละครั้ง
ถ้าไม่ได้ผลให้กินดอกซีไซคลีน 100-200 มก./วัน
ถ้าแพ้เตตราไซคลีนหรือดอกซีไซคลีน หรือ มีข้อห้ามใช้ยา 2 ชนิดนี้ (หญิงตั้งครรภ์ และเด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี) หรือใช้ไม่ได้ผลตั้งแต่เดือนแรกให้เปลี่ยนไปใช้อีริโทรไม่ซิน วันละ 1-2 กรัม แบ่งให้วันละ 2-4 ครั้ง หลังอาหาร หรือโคไตรม็อกซาโซล ครั้ง ละ 2 เม็ด วันละครั้ง นาน 4-6 สัปดาห์ ยาปฏิชีวนะจะช่วยฆ่าเชื้อพีแอกเนส์และลดปริมาณของกรดไขมัน อิสระที่เป็นต้นเหตุของการอักเสบของสิว
4. ถ้ารักษาด้วยวิธีดังกล่าวไม่ได้ผล หรือมีการ อักเสบรุนแรง (เช่น มีสิวหัวช้างขึ้นหลายแห่ง) หรือมีแผลเป็นหรือแผลปูด (คีลอยด์) หรือผิวหน้าขรุขระมาก ควรปรึกษาแพทย์ทางโรคผิวหนัง ซึ่งอาจใช้วิธีปรับยารักษาใหม่ ให้ผู้หญิงอาจให้กินยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีตัว ยาไซโพรเทโรนอะเซเทต (cyproterone acetate) เช่นไดแอน -35 (Diane-35) นาน 6-12 เดือน (เริ่มเห็นผลหลังใช้ยา 3-4 เดือน) ยานี้ออกฤทธ์เป็นตัวต้านฮอร์โมน เพศชาย (anti-androgen) ช่วยลดขนาดของต่อมไขมัน และปริมาณของไขมันยานี้เหมาะสำหรับผู้หญิงที่หน้ามัน มากๆ หรือมีประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ
ในรายที่เป็นสิวเสี้ยนขนาดใหญ่ที่ไม่ตอบสนอง ด้วยยาทา แพทย์อาจรักษาด้วยการจี้ด้วยไฟฟ้า (gentle light czutery)
ในรายที่เป็นสิวหัวช้างหรือเป็นหนอง แพทย์ อาจทำการเจาะระบายหนองออก ซึ่งจะช่วยให้รอยโรคยุบเร็วขึ้น
ในรายที่เป็นรุนแรง ขึ้นเป็นถุงอาจรักษาโดย การฉีดสตีรอยด์ ได้แก่ ไตรแอมซิโนโลนอะเซโทไนด์ เข้าที่หัวสิว หรือให้กินไอไซเทรติโนอิน (กรดเรติโนอิก) ชนิดเม็ด ยากินชนิดนี้มีฤทธิ์ในการทำให้ต่อมไขมันมี ขนาดเล็กลง ลดปริมาณไขมันในต่อมไขมันลดจำนวน เชื้อแบคทีเรีย และลดการอักเสบ กินในขนาดวันละ 20-30 มก.แบ่งกินวันละ 1-2 ครั้ง นาน16-20 สัปดาห์ จะเริ่มเห็นผลใน 3-4 สัปดาห์ (บางรายสิ่วอาจจะเห่อมากขึ้นใน 2-4 สัปดาห์แรก)ใช้ได้ผลดีโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่ดื้อต่อการรักษาด้วยยาอื่นๆ แต่ยานี้มีผลข้างเคียง เช่น ริมฝีปากอักเสบ ตาอักเสบ ตาแห้ง สู้แสงไม่ได้ ปากแห้ง จมูกแห้ง ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ ภาวะไขมันในเลือดสูง เอนไซม์ตับ (AST‚ ALT) สูงไม่ควรใช้ร่วมกับเตตราไซคลีน อาจทำให้เกิดภาวะความดันของ น้ำในสมองสูงได้ และข้อสำคัญหญิงตั้งครรภ์ที่กินยานี้ อาจทำให้ทารกพิการได้ (ควรระวังการใช้ในหญิงวัย เจริญพันธุ์ ก่อนใช้ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่ได้ตั้งครรภ์ และระหว่างที่ใช้ก็ต้องหาวิธีคุมกำเนิด และควร หยุดกินยาก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 2 เดือน) ดังนั้น ยาชนิดนี้จึงควรสั่งใช้โดยแพทย์เชี่ยวชาญเท่านั้น
ในรายที่เป็นถุง อาจใช้ไนโตรเจนเหลว (liquid nitrogen) แตะหัวสิวที่เป็นถุง เพื่อช่วยลดการอักเสบ และใช้ความเย็นจากสารชนิดนี้ ทำลายผนังของถุง
บางกรณีแพทย์อาจให้การรักษาด้วยแสง (phototherapy) หรือแสงเลเซอร์ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ไม่ตอบ สนองต่อการรักษาด้วยยาทาและยากินรักษาสิว
ในรายที่เป็นแผลเป็น ผิวหนังขรุขระมาก อาจต้องแก้ไขด้วยการใช้เครื่องมือขัดผิวหน้า (dermabrasion)ใช้สารเคมีกัดส่วนที่เป็นริ้วรอยแผลเป็นออกไป(chemosurgery) หรือการฉีดสารแก้ไขหลุมรอยแผล เป็น (filler injection) ซึ่งต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เท่านั้น
Ambulance call
1669
Available 24 Hours
Are you five-star healthcare provider?
list your practice
to reach million of patient